“แมะ” ในภาษาจีนกลางก็คือ ม่าย (脉) มาจากคำว่า ป่าม่าย (把脉) ซึ่งก็หมายถึงการจับชีพจรในศาสตร์การแพทย์แผนจีน เป็นหนึ่งในวิธีการเพื่อวินิจฉัยโรคและกลุ่มอาการ โดยที่ชีพจรจะสะท้อนให้เห็นถึงสภาพร่างกายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปจากปกติ
ชีพจรเกิดจากการเต้นของหัวใจ ซึ่งอาศัยการทำงานของหยางหัวใจและชี่หัวใจ โดยมีเลือดและหยินหัวใจเป็นองค์ประกอบ นอกจากนี้ยังต้องมีอวัยวะปอดเป็นตัวผลักดัน เกี่ยวข้องกับอวัยวะม้ามซึ่งควบคุมเลือดให้ไหลเวียนอยู่ภายในเส้นเลือด อวัยวะตับเป็นแหล่งกักเก็บเลือด อวัยวะไตเป็นแหล่งกักเก็บสารจิงซึ่งเป็นสารจำเป็นในร่างกาย สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นเลือดได้
ดังนั้นเมื่ออวัยวะต่างๆทำงานไม่ปกติ เลือดและลมปราณมีไม่เพียงพอ หรือไหลเวียนไม่สะดวก ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รู้สึกว่าไม่สบายอะไรสักเท่าไหร่ หรือรู้สึกไม่สบายแต่ไปโรงพยาบาลตรวจร่างกายแล้วไม่พบปัญหาอะไร แต่ว่าสามารถสะท้อนออกมาได้ในชีพจร หรือที่เรียกว่า “ชีพจรป่วยแต่คนยังไม่ป่วย”
การแมะเป็นการอาศัยความรู้สึกโดยการสัมผัสลักษณะการเต้นของชีพจร โดยที่ชีพจรในแต่ละตำแหน่งจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะบ่งบอกถึงพลังของแต่ละอวัยวะ โดยในการแมะนั้น หมอจีนจะใช้นิ้วมือทั้ง 3 นิ้ว (นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง) สามนิ้วเรียงติดกันความห่างให้พอเหมาะกับแต่ละบุคคล นอกจากนี้การจับชีพจรที่ข้อมือซ้ายกับขวาก็มีความหมายแตกต่างกันไปอีก

ลักษณะชีพจร
- ชีพจรคนปกติ โดยชีพจรของคนปกติจะเรียกว่า “ผิงม่าย平脉” คือ ชีพจรจะไม่ลอยไม่จม เต้นสม่ำเสมอ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่แรงไม่อ่อน แต่ในชีพรจรของคนปกตินั้นอาจเปลี่ยนแปลงไปได้ตาม อายุ เพศ เวลา สภาะจิตใจสภาพร่างกาย
- ชีพจนคนป่วย จะมีลักษณะหลายรูปแบบและซับซ้อน ซึ้งจังหวะในการเต้นแต่ล่ะแบบสามารถบ่งบอกอาการหรืออาการผิดปกติกับอวัยวะที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนี้ การแมะ ยังมีส่วนเฉพาะสำหรับเด็กเล็กๆอีกด้วย เด็กบางคนหรือพ่อแม่อาจจะสงสัยกันว่ากรณีผู้ใหญ่ คุณหมอจะจับชีพจรที่ข้อมือ แต่ในกรณีของเด็กเล็กๆ จะใช้วิธีการตรวจวินิจฉัย ดูร่องรอยที่นิ้ว ซึ่งป็นการดูเส้นเลือดเล็กๆที่อยู่บริเวณนิ้วชี้บริเวณนอก โดยการหงายฝ่ามือ แพทย์จีนมักจะใช้ในการตรวจวินิจฉัยดูในผู้ป่วยเด็กเล็กที่อายุน้อยกว่า 3 ขวบเนื่องจากชีพจรบริเวณข้อมือค่อนข้างเล็ก จับชีพจรได้ยาก
วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคโดยการตรวจชีพจร
- แพทย์จีนที่ทำการตรวจวินิจฉัยโรคโดยวิธีนี้ ต้องอาศัยสมาธิและจิตใจที่สงบนิ่ง
- การตรวจวินิจฉัยผู้ป่วยแต่ละราย หมอจะต้องมีสมาธิแน่วแน่
- ผู้ป่วยก็จะต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมออย่างเป็นธรรมชาติ
- โดยนิ้วมือที่หมอสัมผัสชีพจรของผู้ป่วยต้องมีจังหวะการกดเบาหนักและแรงที่ถูกต้อง
- การตรวจชีพจรจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยนั่งพักสักครู่ เพื่อให้จิตใจสงบก่อนและไม่มีสิ่งใดมารบกวน จึงจะส่งผลให้ตรวจพบชีพจรที่แท้จริงได้มากขึ้น
ทั้งหมดนี้ ทำให้ชีพจรเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ เมื่ออารมณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว ชีพจรจะเต้นกลับคืนสู่ปกติ ฤดูกาลทั้ง 4 ก็มีผลทำให้การเต้นของชีพจรเปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น